Saturday, March 12, 2016

Assassination Classroom



Assassination Classroom เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ผมได้อ่านเพียงเล่มแรกๆ แล้วรู้สึกไม่ชอบ จนเลิกอ่านไปหลายปี จากนั้นพอได้กลับมาลองอ่านอีกที ก็ค่อยรู้ว่าตัวเองเกือบพลาดเรื่องสนุกๆนี้ไปแล้ว
ที่ผ่านมาก็มีการ์ตูนที่ผมมารู้สึกชอบทีหลังแบบนี้เหมือนกัน อย่าง หงสาจอมราชันย์,  วากาบอนด์, Claymore, Gundam Origin

เรื่องนี้เป็นการ์ตูนแนวชีวิตในโรงเรียนที่ผสมกับเนื้อหาเกี่ยวกับนักฆ่า ซึ่งคำว่านักฆ่าในที่นี้ก็ไม่ใช่อะไรโหดๆเลย แต่จะออกมาในแนวเก๋ๆอย่าง หนังสายลับแบบ เจมส์ บอนด์ ซะมากกว่า  คือคนอ่านจะรู้ว่าตัวละครนี้เป็นนักฆ่า แต่ก็ไม่รู้สึกจริงจังอะไรมาก นอกจากคิดว่า เก่งและเท่ดีเท่านั้น

เนื้อเรื่องคร่าวๆคือ นักเรียนม.3 ในห้อง E ของโรงเรียนคุนุกิงาโอกะ ได้ถูกมอบหมายภารกิจสำคัญจากรัฐบาลให้ฆ่าครูประจำชั้นคนใหม่ของพวกเขา ซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดมีความสามารถและความเร็วเหนือมนุษย์ ชื่อโคโระ โดยมีเงินหนึ่งหมื่นล้านเยนเป็นรางวัล ถ้าพวกเขาฆ่ามันได้
ด้วยเหตุนี้ เหล่าเด็กนักเรียน จึงต้องไปเข้าเรียนกับ อ.โคโระ เหมือนกับเวลาเรียนปรกติ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องหาทางฆ่าสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเหนือโลกตัวนี้ให้ได้ด้วย

ความสนุกของตัวเรื่อง จะมาจากการได้ชมชีวิตประจำวันระหว่างนักเรียนกับอาจารย์ ที่ฝ่ายหนึ่งคิดจะฆ่าอีกฝ่าย ส่วนฝ่ายที่จะถูกฆ่า ก็พยายามทำตัวเป็นอาจารย์ที่รักนักเรียนแบบจริงจังสุดขีด

เนื้อหาเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วย ฉากตลกๆ ฉากความสัมพันธ์ระหว่างทุกคนในชั้นเรียน และก็มีเนื้อหาตอนยาวๆที่เข้มข้นแทรกมาเป็นระยะ ซึ่งตอนยาวๆพวกนี้ มักจะเกี่ยวกับ การพยายามฆ่า อ.โคโระ จากบุคคลภายนอก หรือไม่ก็ การแข่งขันระหว่างห้อง E กับ ห้องนักเรียนหัวกะทิ รวมทั้งดราม่าจากอดีตของตัวละครในเรื่อง เรียกว่ามาครบเลยครับ ทั้งฉากตลก ฉากต่อสู้ หรือตอนที่เนื้อเรื่องดีๆ
และฉากต่อสู้ก็ไม่ใช่แนวใช้พลังใส่กันตู้มๆบึ้มๆ ด้วย แต่จะออกมาในแนวหักเหลี่ยมเฉือนคมแทน ยกเว้นบางฉากที่ออกแนวพลังปะทะพลังบ้าง

ทางด้านการกำกับเรื่อง ก็ทำได้เยี่ยม ไม่มีตอนไหนที่รู้สึกว่ายืดยาวเกินไป ทุกช่วงของเนื้อหาจะจบก่อนที่คนดูจะเบื่อหมด แล้วจึงขึ้นเนื้อหาใหม่ จัดว่าเป็นนักวาดที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีการออกทะเลใดๆเลย

ทางด้านตัวละคร  ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยชอบตัวละครที่เก่งเวอร์แบบตัวละครหลักอย่างอาจารย์โคโระ ที่เคลื่อนไหวได้เหนือมนุษย์ ไหวพริบดี สอนหนังสือได้แทบทุกวิชา ซักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกเหมือนตัวละครประเภทเก่งสมบูรณ์แบบนี้ถูกสร้างมาเพื่อให้ถูกชื่นชมเท่านั้น

แต่คนวาดเรื่องนี้กลับทำให้ตัวละครอย่าง อ.โคโระ ดูไม่น่าอึดอัดเลย เพราะนอกจากคุณสมบัติเก่งกาจแล้ว ข้อด้อยของอาจารย์ก็มีเพียบ ไม่ว่าจะจิตใจเปราะบาง รักนักเรียนมากๆ ลามก แถมยังมีบทให้ถูกคนโน้นคนนี้รังแกบ่อยๆแม้จะมีพลังมากกว่าคนอื่นก็ตาม
และเป็นตัวละครที่เล่นมุขได้ฮาสุดในเรื่องด้วย จึงเป็นตัวละครหลักที่สมควรได้รับบทเป็นผู้ขับเคลื่อนเนื้อเรื่องมากที่สุด

นอกจากนี้เรื่องนี้ก็เต็มไปด้วยตัวละครเด็กหนุ่มๆสาวๆ เลยเป็นอาหารตากับคนที่ชอบตัวละครสาวๆน่ารักอย่างผมได้เป็นอย่างดี
โชคดีที่ในเรื่องไม่ค่อยมีตัวละครคุณสมบัติประหลาดเยอะนัก อย่างมากก็มีแค่พวกนักฆ่า หรือ[SPOIL นิดๆ]คนที่มีพลังบางอย่างเหมือน อ.โคโระ หรือที่ต่างไปจากพวกสุดก็คือ ริสึ สาวน้อยสมองกลที่มีชีวิตอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เธอก็ไม่ได้ดึงเรื่องให้พิสดารอะไรมาก เพราะริสึมีหน้าที่เป็นอุปกรณ์แสนสะดวกที่ทำให้เรื่องเดินไปโดยไม่ต้องอธิบายอะไรซะมากกว่า เช่น แฮกคอมพิวเตอร์ แฮกมือถือเพื่อแจกจ่ายข้อความให้นักเรียน

เพราะอย่างนี้เราจึงไม่ได้เห็นตัวละครที่ออกมากันเกร่อในการ์ตูนเรื่องอื่น เช่น มิโกะ นินจา สาวน้อยใส่ผ้าคาดปิดตา สาวไอดอล สาวอัจฉริยะIQ180 ใน Assassination Classroom และมันก็เป็นเรื่องดี เพราะตัวละครที่มีคุณสมบัติหลากหลายมากๆ จะทำให้เรื่องดูเละเทะเกินไป และรู้สึกเหมือนพยายามยัดเยียดให้คนอ่านชายชอบด้วย

แต่ก็ต้องเตือนไว้ก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ได้เจาะจงตัวละครสาวๆมากนัก ส่วนมากจะได้บทแบบเบาบางกันทั้งหมดไม่ว่าหญิงหรือชาย เพราะคนวาดเน้นการนำเสนอภาพรวมของเนื้อเรื่อง มากกว่าจะเอานิสัยและชีวิตของตัวละครมาเป็นเนื้อหาหลัก
ผมชอบการนำเสนอแบบนี้มาก เพราะมันเหลือพื้นที่ให้คนอ่านจินตนาการเอาเองว่าตัวละครแต่ละตัวเป็นยังไง
ถึง AC จะไม่ได้มีฉากเซอร์วิส หรือเรื่องราวทะลึ่งตึงตังเลย แต่คนวาดก็แอบใส่มันในการ์ตูนอย่างจางๆ เพื่อตอนสนองนี้ดให้คนอ่านชายด้วยนิดหน่อย เช่นฉากยั่วยวนของอ.บิซ  การพูดถึงเรื่องไซส์หน้าอกของสาวๆ แต่ก็อย่างที่บอก มีฉากแบบนี้ในเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในเรื่องจะมี 'เกร็ด' ความรู้เข้ามาสอดแทรกในบางครั้งบางคราว ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และอื่นๆ แต่ออกแนวเอาไว้รู้ประดับสมองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เด่นกว่าความรู้พวกนี้ คือสิ่งที่โคโระสอนนักเรียนเรื่องสังคมภายนอก ว่าโลกที่รอพวกเขาอยู่หลังจากเรียนจบ จะเต็มไปด้วยคน(น่ารังเกียจ)ประเภทใดบ้าง และเขาก็พยายามทำให้นักเรียนไม่เป็นคนแบบนั้น
แม้ในเรื่องจะเอ่ยถึงความน่ากลัวของสังคมอยู่บ่อยๆ แต่คนวาดก็ไม่ได้ให้รายละเอียดลงลึกอะไรนัก คงเป็นเพราะไม่อยากให้เรื่องมันหนักไป หรือไม่ก็ถูกฝ่าย บก เบรคไว้ก็ได้

จำนวนตัวอักษรและจำนวนกรอบภาพต่อหนึ่งหน้า อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูงนิดนึง แต่ก็ยังอ่านได้ค่อนข้างไหลลื่น
สมมุติว่า เรื่องที่ตัวหนังสือน้อยๆกรอบน้อยๆต่อหนึ่งหน้าอย่างบากิ กับจอมโหดกะทะเหล็กได้ 1 คะแนน
ขณะที่เรื่องที่ตัวหนังสือเยอะ กรอบภาพหนาแน่นในหนึ่งหน้ากระดาษ อย่าง วันพีซ เนกิมะ ฮายาเตะ ได้ 10 คะแนน
เรื่องนี้จะอ่านไหลลื่นประมาณ 6 คะแนนครับ อ่านแล้วไม่ค่อยสะดุดอยู่หน้าใดหน้าหนึ่งนานๆ

สรุป: เป็นเรื่องที่อ่านได้เพลินๆ สำหรับคนที่อยากอ่านอะไรตลกๆ เนื้อเรื่องดี แต่ไม่หนักมาก ไม่เจาะจงเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมากเกินไป และมีตัวละครสาวๆให้ดูเล่นบำรุงสายตาบ้าง

ข้อดี
- มีฉากตลกพอสมควร และค่อนข้างฮา
- เนื้อเรื่องดี และหลากหลาย แต่ละช่วงของเนื้อเรื่องไม่ค่อยยืด และไม่ออกทะเล ถ้าเป็นคนอื่นวาด ผมว่าคงมีการยัดฉากต่อสู้เข้ามามากกว่านี้จนเรื่องเละเทะแล้ว
- รักษาความหนักของเรื่องได้ดี ไม่มีอะไรให้เครียดมาก แต่ก็ไม่เฮฮาจนรู้สึกกลวงโบ๋

- ตัวละครหลักอย่าง อ.โคโระ ทำให้เรื่องนี้สนุกมาก ทั้งเก่งและอ่อนแอในเวลาเดียวกัน ในเรื่องอื่น ตัวละครเก่งๆแบบนี้มักจะได้บทโชว์ความเก่งและบทพูดซึ้งๆมากไปจนน่าหมั่นไส้
- ตัวละครสาวๆถูกออกแบบให้ดูเรียบๆไม่หวือหวา  และไม่มีบทโดดเด่น จนคนอ่านรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดให้ชอบ
แต่พวกเธอก็ยังมีเสน่ห์แบบธรรมชาติ จนเพิ่มความน่าสนใจให้กับการ์ตูนเรื่องนี้ได้เหมือนกัน
- กระดาษดีมาก  ข้างในปกมีสีด้วยแหละ


ข้อเสีย
- มีตัวละครแนวเก๊กๆอยู่บ้าง  แต่ก็ไม่ออกมาเยอะจนน่ารำคาญ
- บางครั้งตัวละครก็มีบทพูดแนวปรัชญาชีวิตที่เชื่อมโยงกับความเป็นนักฆ่าแบบดูฝืนๆขึ้นมา เหมือนกับคนวาดและฝ่ายบก.คิดว่าเรื่องนี้มีธีมนักฆ่า ก็เลยต้องใส่ปรัชญาให้ออกแนวนักฆ่าเข้ามาในเรื่องด้วย จะได้ไม่ดูเหมือนขาดอะไรไป
- ตอนยาวบางตอนไม่ค่อยสนุก แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ทนอ่านได้

8.5/10 ครับ  น่าจะเป็นเรื่องที่ผมสามารถหยิบมาอ่านได้บ่อยเลย  ถ้ามีตอนสั้นๆตลกๆมากกว่านี้ ก็จะให้ 9-9.5อยู่หรอก

Friday, March 4, 2016

The Shield


The Shield  (ซีรี่ย์ฝรั่ง 7 seasons จบ)

ถ้าใครอยากจะดูซีรี่ย์ ที่พระเอกโฉดๆแบบ Breaking Bad กับ Dexter ก็ขอแนะนำเรื่องนี้เลยครับ  เป็นเรื่องที่สนุกติด 1 ใน 4 สุดยอดซีรี่ย์ของผมเลย  (อันดับ1. Scrubs  2-3. Game of Thrones กับ The Wire คะแนนพอๆกัน  4. The Shield) เสียดายว่าเรื่องนี้ไม่มีซับไทย จึงเหมาะกับคนที่อ่านซับฝรั่งได้อย่างเดียว

เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตตำรวจจอมวายร้ายของ วิก แม๊คกี้ และเพื่อนร่วมทีมอีกสามคม ที่ร่วมกันใช้อำนาจตำรวจ มาคุมเขตฟาร์มมิงตันด้วยวิธีที่ทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย แม๊คกี้จะคอยกวาดล้างผู้ร้ายเลวๆ ขณะเดียวกันเขาก็ใช้พวกมันเป็นเครื่องมือหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองด้วย วิธีการต่อกรกับผู้ร้ายแบบไม่สนกฏหมายของเขา ทำให้สถิติการจับกุมจากทีมของวิกอยู่ในระดับเยี่ยม จนผู้หลักผู้ใหญ่ในกรมไม่กล้าว่าอะไร

แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะแสดงแต่ความชั่วร้ายของวิกอย่างเดียว เพราะอีกครึ่งของเรื่องที่วิกทำ ก็เป็นเรื่องดีด้วย เช่นแจกจ่ายเงินให้คนที่ไม่มีจะกิน และเขาก็ยังมีความอ่อนแออีกมากมายจนผู้ชมเกลียดเขาไม่ลงเหมือนกัน

แรกๆที่ดู คนดูอาจจะตีตราวิกไว้ว่า เป็นพระเอกชนิดที่เป็นตัวร้ายไปตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะวีรกรรมชั่วร้ายที่เขาทำไว้ตั้งแต่ตอนที่หนึ่ง แต่พอผ่านไปซักพัก เมื่อเนื้อเรื่องเริ่มมีตัวร้ายระดับเลวจริงๆปรากฏตัวขึ้นมา คนดูก็จะเริ่มเรียกหาตัวละครที่มีสีเทาเข้มแบบวิก ให้จัดการพวกมันซะ ซึ่งมันคือเอกลักษณ์ของเรื่องนี้ ใช้คนชั่วระดับที่ยอมรับได้ ไปจัดการคนชั่วที่เลวร้ายเกินทน วิกไม่ทำให้คนดูผิดหวังแน่นอน

นอกจากจะโฟกัสไปที่วิกและลูกทีมที่เป็นตำรวจเลวแล้ว ตัวเรื่องก็นำเสนอตำรวจคนอื่นๆในสถานีฟาร์มมิงตันด้วย เช่นตำรวจทั่วไปอย่าง แดนเนียล ตำรวจสาวที่เป็นกิ๊กกับใครบางคนในสถานี จูเลี่ยนตำรวจผิวดำที่มีความสับสนบางอย่างในใจ อเซเวดา สารวัตรใหญ่ประจำสถานี ที่อยากสร้างผลงานเพื่อสมัครเป็นผู้ว่า

แต่ตัวละครรองที่ดูแล้วสนุกสุดในเรื่องก็คือ  คู่หูนักสืบ ดัช กับ คลอเด็ต เนื้อเรื่องของทั้งคู่ได้อารมณ์คนละอย่างกับทีมของวิก ที่จะเน้นการรับมือกับพวกแก๊งต่างๆ  เพราะนักสืบคู่นี้จะเน้นรับคดีพวกฆาตรกรโรคจิต หรือไขคดียากๆ ซึ่งเน้นเนื้อหาทางจิตวิทยาเป็นหลัก ทำให้ The Shield  มีความสนุกหลายรสชาติเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านบู๊ของพวกวิก ด้านดราม่าของตำรวจคนอื่น และการสืบสวนของดัช

อย่างไรก็ตาม ตัวละครรองต่างๆ ก็ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เรื่องนี้ดูหลากหลายเท่านั้น เนื้อเรื่องของแต่ละคนจะเริ่มเข้ามาขมวดอยู่กับทีมของวิกจนเป็นปมเส้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเรื่องเดินไปพักหนึ่ง จนไปถึงบทสรุปสุดท้าย ที่จบได้อย่างลงตัว

ทางด้านตัวร้ายใน The Shield  ก็ทำได้ดีมาก แต่ละซีซั่นมีตัวร้ายเด่นๆต่างกัน พวกเขาแต่ละคนสร้างความเสียหายให้แก่ตัวละครหลักได้จริงจัง จนชีวิตของฝ่ายตำรวจเปลี่ยนไปหลังจากได้เจอวายร้ายเหล่านี้ การต่อสู้ในเรื่องไม่ใช่การเอาปืนยิงกันเปรี้ยงๆ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำให้ชีวิตอีกฝ่ายเลวร้ายลงได้แค่ไหน (แต่ก็มีคนตายเกลื่อนอยู่ดีแหละ)

นอกจากเรื่องตัวร้ายแล้ว ความเข้มข้นของเรื่องก็มาจากสารพันปัญหาที่วิกเจอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากที่ทำงาน เพราะมีคนเริ่มล่วงรู้ถึงเรื่องชั่วร้ายที่เขาทำ ปัญหาจากครอบครัว ซึ่งเขาสวมหน้ากากหลอกว่าเขาเป็นตำรวจที่ดี หรือปัญหาจากวีรกรรมเลวๆที่เขาเคยสร้างไว้  มีกระทั่งปัญหาจากคนอื่นที่โชคร้ายมาซวยถึงวิกด้วย
ปัญหารอบตัวของวิกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และพอกพูนขึ้นทุกซีซั่น แม้วิกจะเป็นคนเลว แต่ผมก็ชื่นชมที่เขาไม่เจ็บแค้นโวยวายเรื่องปัญหาต่างๆที่รุมเร้าเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนเลย และการแก้ปัญหาของเขาก็ไม่ใช่วิธียอดมนุษย์ฉลาดเหนือชั้น แต่เป็นวิธีแก้ที่พอจะเอาตัวรอดไปได้อย่างครึ่งๆกลางๆ ซึ่งหลายครั้งก็ทำให้บางปัญหามันใหญ่กว่าเก่าอีก
สิ่งที่ผมได้จากเรื่องนี้มากสุด ก็คือการพยายามรับมือกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาในชีวิตคนเราเรื่อยๆ
วิกไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ชีวิตจริงก็เช่นกัน มีหลายฉาก ที่วิกตีสีหน้าอดทนเมื่อเจอปัญหาใหม่ ก่อนจะบอกกับทุกคนว่า เขาจะรับภาระปัญหานี้เอง ถึงเขาจะแก้ปัญหาไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้วิธีที่จะอยู่กับมันอย่างสง่างามและไม่ให้เป็นภาระกับคนอื่น แม้ว่าชีวิตเขากำลังถูกกัดกร่อนด้วยปัญหาทีละน้อยก็ตาม

ถ้าจะเปรียบเทียบกับซีรี่ย์ดังๆอย่าง Breaking Bad  เรื่องนี้จะดูเป็นศิลปะน้อยกว่า แต่มีความดิบมากกว่า และไม่ยืดเยื้อเท่าครับ แต่ละตอนจะสนุกทันทีเลย ไม่ใช่ค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นเรื่อยๆจนกระทั่งมาระเบิดตอนสุดท้ายของซีซั่น แบบ Breaking Bad

ข้อดี
- ตัวละครหลักมีชีวิตและนิสัยน่าสนใจ (วิก ดัช)
- ตัวร้าย ออกแบบได้ร้ายกาจสุดๆ
- มีฉากที่ทำร้ายความรู้สึกเพียบ
- ปัญหาในเรื่องซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และวางออกมาได้อย่างฉลาด
- มีความมันส์ของเรื่องราวระหว่าง ตำรวจ ปะทะ แก๊งค์ค้ายา
- ฉากวิเคราะห์ด้านจิตวิทยาของดัช
- หักเหลี่ยมเฉือนคม
- ไม่มีตอนที่อืดอาดน่าเบื่อ ทุกตอนเร่งเกียร์สูงหมด

ข้อเสีย
- ช่วงแรกกล้องถ่ายทำสั่นไปนิด  แต่เดี๋ยวก็ชิน และสั่นน้อยลงช่วงหลังๆ  คงเป็นเพราะผู้กำกับอยากทำให้ได้อารมณ์เหมือนว่าเรากำลังดูสารคดีการทำงานของตำรวจแบบสมจริงมั้ง
- ซีซั่นสุดท้าย อารมณ์ทึมๆเศร้าๆไปหน่อย  คงเป็นเพราะเห็นเค้าลางของฉากจบตั้งแต่ซีซั่นกลางๆแล้ว
- ปริศนาของดัชที่เฉลยออกมาไม่ค่อยกระจ่าง ซึ่งเป็นปมใหญ่และน่ากลัวพอๆกับเรื่องของวิก

10/10 ครับ