Friday, October 28, 2016

Vikings

รีวิว ซีรี่ย์ Vikings (ถึง season 4a ล่าสุด )



ช่วงนี้ Game of Thrones ซีซั่นใหม่ยังไม่มา ก็เลยหาอะไรมาดูแก้ขัดก่อนครับ
ผมได้ยินคำแนะนำมาซักพักแล้วว่า ถ้าอยากดูอะไรแนว GoT แต่เนื้อหาเบากว่า และโฟกัสตัวละครน้อยกว่า ให้ดูเรื่อง Vikings
ตอนแรกนึกว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ผมเอาไว้ดูกล้อมแกล้มแก้ขัดรอ GoT  พอดูจบแล้วก็ลืมๆไป เหมือนซีรี่ย์ฝรั่งหลายเรื่อง
แต่ไปๆมาๆ Vikings กลับเป็น หนึ่งในเรื่องหลักที่ผมต้องตามดูเลย

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของพระเอก แรคนาร์ และครอบครัวของเขาที่เป็นชาวไวกิ้ง ตอนแรกแรคน่าร์เป็นแค่ชาวไวกิ้งธรรมดาๆ ที่ทำงานรับใช้เอิร์ลของตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ค่อยๆมีอิทธิพลและอำนาจขึ้นเรื่อยๆจากวีรกรรมอันไร้ศีลธรรม(แต่เป็นเรื่องที่ปรกติสำหรับเผ่านี้) ขณะเดียวกันความขัดแย้งกับฝ่ายต่างๆ ก็ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจากคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันเอง หรือ จากคนที่อยู่ต่างแดน กระทั่งการทรยศหักหลังจากคนใกล้ชิด
เรื่องนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆตั้งแต่แรคน่าร์ยังหนุ่ม จนถึงวัยปลายๆ จิตใจของเขาเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและเหตุการณ์ที่ได้พบเจอ มีทั้งยุครุ่งเรืองและยุคที่ตกต่ำสุดๆจนไม่รู้ว่าจะขึ้นมาอยู่ที่เดิมได้รึไม่ เราจะได้เห็นลูกๆของแรคน่าร์เติบโตขึ้น และเตรียมพร้อมจะสร้างเรื่องยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นจริงตามประวัติศาสตร์(ในชีวิตจริง ลูกชายของแรคน่าร์ และโรโล่ที่เป็นพี่ชาย สร้างวีรกรรมดังๆไว้มากกว่าพระเอก)

ความป่าเถื่อน ความขัดแย้ง ฉากติดเรท พล็อตที่น่าสนใจ มีครบในเรื่องนี้ครับ
เพลงเปิดก็เพราะและให้บรรยากาศน่ากลัวดี (Fever Ray 'If I Had A Heart')


จุดเด่นในเรื่อง

เสน่ห์อย่างแรกของเรื่องนี้อยู่ที่ฉากต่อสู้แบบสงครามย่อมๆ ที่มีให้ดูบ่อย สงครามจะมีคนสู้กันแค่ฝ่ายละ 40-50 คน ไม่รู้ว่าที่จำนวนคนน้อย เป็นเพราะอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ หรือ งบประมาณกันแน่ แต่ยังไงฉากต่อสู้ก็ทำได้มันส์ ไม่มีใครดูแล้วเก่งไร้เทียมทานเลย และไม่มีตัวละครนักรบที่บุคลิกซ้ำๆซากๆด้วย (ตอนแรกนึกว่ามี จนกระทั่งตัวละครแนวนั้นตายหมด) เราจะได้เห็นฉากต่อสู้ที่สะใจเกิดขึ้นทุกซีซั่น

นอกจากนี้ เนื่องจากพระเอก คือพวกไวกิ้ง ดังนั้นฝ่ายของเขาเลยมีลักษณะเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อน ทุกคน ปล้น ฆ่า ข่มขืน ทุกอย่างที่ขวางหน้าหมด เพราะวัฒนธรรมและศาสนาของพวกเขาอนุญาตให้ทำอย่างนั้น

จุดเด่นที่สอง ก็คือพล็อตความขัดแย้งการทรยศหักหลังที่เกิดขึ้นในเรื่อง ในช่วงแรกความขัดแย้งยังไม่มีเท่าไหร่ เพราะเน้นเรื่องการบุกปล้นสะดมของตัวเอกมากกว่า แต่พอซีซั่น2 เรื่องนี้ก็เริ่มเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการหักหลังของตัวละครต่างๆ ที่มีความเข้มข้นไม่แพ้เรื่องดังๆเลย
แต่การสร้างพล็อตของเรื่องนี้ ไม่ค่อยประณีตเหมือน Game of thrones หรือ Breaking Bad คือจะดูออกอย่างชัดเจนว่าขาดๆเกินๆ
เช่น หลายครั้งในเรื่องจะมีตัวละคร ที่มีปมที่จะสร้างปัญหาให้กับหลายคน  แต่จู่ๆคนพวกนี้ก็จะถูกฆ่าทิ้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือหายสาบสูญ เพราะคนเขียนบทคิดไม่ออกว่า จะให้ทำยังไงต่อหลังจากเกิดปมขัดแย้งขึ้น(อันนี้ทางทีมงานยอมรับเองเลย) ในเรื่องจึงมีตัวละครที่ถูกกำจัดทิ้งให้คนดูงงเพียบ แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องดี เพราะคนที่ถูกกำจัดส่วนมากจะเป็นตัวละครที่มีบทบาทไม่น่าสนใจ และปมที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้เรื่องสนุกเลย

แต่ความไม่ประณีตของพล็อตย่อย ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้เสียหายอะไร เพราะเนื้อหาหลักของเรื่องยังน่าสนุกน่าติดตามตลอด เรื่องนี้ชีวิตของตัวละครผกผันไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะพระเอก ไม่มีใครที่มีชีวิตหยุดอยู่กับที่ซักคนในเรื่องไวกิ้ง

จุดเด่นที่สาม คือ พระเอก แรคน่าร์ เป็นตัวละครที่มีบุคลิกและบทบาทที่มีมิติมาก แม้ช่วงแรกเขาจะมีมาดกวนๆ สามารถคิดแผนฉลาดล้ำลึกมาจัดการศัตรูได้ตลอด จนดูเหมือนจะเป็นพระเอกแบบเฝือๆเหมือนในภาพยนต์หลายเรื่อง ที่มักจะพลิกล็อคทุกอย่างด้วยกลยุทธ์วิจิตรพิสดารไม่มีใครคิดได้ (คล้ายกับการ์ตูนญี่ปุ่นช่วงหลัง ที่ชอบให้พระเอกท่าทางอ่อนแอแต่เก่งเรื่องการใช้สมองจัดการศัตรู)

โชคดีที่เรื่องนี้ คนเขียนบทออกแบบตัวละครเอกมาได้ดี แรคน่าร์เลยไม่ใช่ตัวละครที่มีคุณสมบัติเลิศหรูเหนือคนอื่นตลอดเวลา เขามีทั้งความโกรธเกลียด ความมัวเมา โรคซึมเศร้า ซึ่งมีสาเหตุจากสิ่งร้ายๆที่เขาเจอมาระหว่างดำเนินเรื่อง
แผนที่เขาคิดก็ใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้ง และบางทีก็เห็นแก่ตัวสุดๆ คาดเดาไม่ได้เลยว่าพระเอกของเราจะดีหรือจะร้ายตอนไหน จนรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่แค่ฟันเพืองหลักที่ทำให้เรื่องเดินเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงของทรงผมและรอยสักของแรคน่าร์ที่ดูเถื่อนขึ้นเรื่อยๆตามอายุ ก็เท่ดีอีกต่างหาก


จุดด้อย
ฉากบางฉาก ทำได้แย่ยิ่งกว่าหนังเกรดบี เช่น ฉากเล่าตำนาน Ragnarok ในซีซั่นแรก ฉากนี้ทีมงานพยายามทำให้การเล่าตำนานในห้องโถงดูไม่น่าเบื่อ แต่ไปๆมาๆ การแสดงประกอบตอนเล่าตำนานกลับทำออกมาได้เละเทะมากเหมือนการแสดงละครของเด็กประถม จนผมเกือบเลิกดูไปเลย แต่พอหลังจากนั้นก็ทำได้ออกมาน่าสนใจเหมือนเดิม

ฉากหนังเกรดบีอีกฉากคือฉากคนสู้กับหมีในซีซั่น4 ผมเข้าใจว่าผู้กำกับอยากให้ตัวละครตัวนี้ดูเก่ง เพราะสู้กับหมีได้ แต่ถ้าจะนำเสนอออกมาได้อนาถแบบนี้ สู้เขียนบทให้ตัวละครนั้นพุ่งใส่หมี แล้วตัดฉากสรุปผลการต่อสู้ไปเลยดีกว่า

สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวละครที่อยู่ในเรื่องนี้ ส่วนมากเป็นตัวละครที่อยู่ในประวัติศาสตร์จริง และการรู้ว่าพวกเขาจะทำวีรกรรมอะไรในประวัติศาตร์ ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเวลาเห็นตัวละครพวกนี้ด้วย (แต่ควรจะหาข้อมูลหลังจากดู Season 4 มากกว่า)
อันนี้คือรายชื่อของเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จริง ที่โยงกับเรื่องนี้ครับ
- Siege of Paris
- Duke of Normandy
- Great Heathen Army
และวีรกรรมอีกมากมายจากลูกของแรคน่าร์หลายคน

8/10 ครับ  ชอบบรรยากาศและฉากรบในเรื่องมาก

Wednesday, October 26, 2016

Van Helsing - Darkness Blood



รีวิว Van Helsing - Darkness Blood (สนพ SIC  3 เล่มจบ)

แม้เรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่เนื้อหามีแค่ 3 เล่มจบ แต่กลับสามารถจับจองพื้นที่ดีๆในความทรงจำของผมได้เลย
Van Helsing - Darkness Blood เป็นการ์ตูนตลก ที่คนเขียนเริ่มเล่นมุขใส่คนอ่านตั้งแต่หน้าปก ด้วยภาพของตัวเอกที่ดูเคร่งขรึม ทั้งที่จริงๆแล้วเรื่องนี้คือการ์ตูนตลกบ้าบอคอแตกภายใต้ลายเส้นที่ดูซีเรียสจริงจังต่างหาก

วิธีการนำเสนอทั้งเล่มเป็นการ์ตูนที่จบในตอน  เนื้อหาเกี่ยวกับตัวเอกที่เป็นนักล่าแวมไพร์และเหยื่อแต่ละรายของเขา อ่านพล็อตถึงตรงนี้แล้วอาจจะดูไม่มีปัญหาอะไร ก็เหมือนการ์ตูนแนวคนตามล่าสัตว์ประหลาดเรื่องอื่นๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างในเรื่องนี้ผิดเพี้ยนต่างไป คือการที่พระเอกไม่มีทักษะต่อสู้อะไรเลย แถมสติสตังก็ไม่ค่อยเต็มเต็งด้วย โชคดีที่เขายังมีความเจ้าเล่ห์ปะปนอยู่ในความเพี้ยนอยู่บ้าง และพกดวงมาเต็มกระเป๋า ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดมาได้(แบบงงๆ)ตลอด บางทีอาจต้องให้เครดิตอาวุธพิลึกๆที่สมองระดับเด็กประถมของเขาสร้างขึ้นมาต่อสู้แวมไพร์ด้วยก็ได้

เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการ์ตูนตลก อาหารจานหลักของมันจึงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความฮาที่อยู่ในเรื่อง ซึ่งผมว่าส่วนนี้ทำได้ดีพอสมควร มุขที่อยู่ในเรื่องนี้ส่วนมากจะเป็นการล้อเลียนฉากต่างๆในการ์ตูนเรื่องอื่น เช่นฉากพูดเท่ๆที่ตัวละครในเรื่องอื่นมักจะเก็กก่อนพูดว่า 'ฮึ ชั้นทิ้งอดีตไปนานแล้ว' ก็จะถูกตัวเอกเรื่องนี้เอามาใช้อย่างไม่ถูกกาละเทศะ จนความเท่ของฉากพวกนี้ที่อยู่ในใจเราหายไปหมด หรือฉากคนใกล้ตายสั่งเสียที่สามารถเรียกน้ำตาจากคนอ่าน ก็จะถูกตัวเอกเรื่องนี้เอามาใช้แบบพร่ำเพรื่อจนไม่เหลือคุณค่าอะไรอีกเลย
ดังนั้น คนที่จะรู้สึกตลกกับมุขของเรื่องนี้ได้ ต้องเป็นคนที่อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นมามากหน่อย เพื่อจะได้มีภาพฉากเท่ๆซึ้งๆ จากการ์ตูนพวกนั้นอยู่ในหัว แล้วค่อยมาดูว่ามันจะถูกปู้ยี้ปู้ยำยังไง
โชคดีที่มุขในเรื่องนี้ไม่ได้เน้นการอ้างอิงจากเอกลักษณ์ของการ์ตูนเรื่องดังๆอย่างกันดั้ม ดราก้อนบอล หรือ Initial D เหมือนที่การ์ตูนตลกมักจะทำกัน แต่จะใช้วิธีการอ้างอิงฉากเหตุการณ์ที่ใช้กันบ่อยๆในการ์ตูนทั่วไปแทน ดังนั้นคนอ่านจึงไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์กับการ์ตูนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบเจาะจงเลย

ทางด้านประเด็นเรื่องความไหลลื่นในการอ่าน เรื่องนี้ค่อนข้างมีตัวหนังสือเยอะ เวลาอ่านอาจต้องตั้งใจหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเพ่งสมาธิอ่านแบบสุดๆถึงจะสนุกได้

ข้อดี
- ภาพสวย วาดบรรยากาศในโทนจริงจัง ขัดกับแนวของเรื่องได้ดี
- มุขฮาและล้อเลียนเนื้อหาการ์ตูนแบบกว้างๆ เลยเข้าใจง่ายกว่าการ์ตูนที่เน้นล้อเลียนการ์ตูนแบบเจาะจงเรื่องและเจาะจงฉาก จนกลายเป็นมุขวงในเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
- สาวๆในเรื่องก็วาดใช้ได้นะ
- สร้างตัวละครเอกได้โดดเด่นสุดๆ ทั้งเพี้ยนและมีอดีตที่น่าสนใจ ชวนให้คาดเดาว่าสมัยเด็กเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ตอนโตถึงได้กลายเป็นแบบนี้
- หน้าสุดท้ายที่เป็นบทสรุปของเรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะทำออกมาดูตลกปนเหงาๆ

ข้อเสีย
- สั้นไปหน่อย อยากให้มีซัก5เล่ม  แต่ถ้ายาวกว่านี้ ก็อาจจะมีแต่มุขซ้ำๆจนทำให้ภาพรวมของเรื่องแย่ลงจนไม่ประทับใจเท่านี้ ก็ถือว่าจบได้พอดีๆเหมือนกัน

ให้ 7.5/10 ครับ  ไม่ใช่เรื่องระดับสุดยอด  แต่ชอบมุขและบรรยากาศทมึนๆในเรื่องมาก เป็นเรื่องที่มีเอกลักษณ์ในตัวสูงพอสมควร ยังไงก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ซื้อเก็บ
แต่คะแนนที่ผมให้การ์ตูนตลก อาจจะมีคนเห็นด้วยไม่เห็นด้วยต่างกันมากกว่าปรกติ  เพราะผมสังเกตุว่า ความชอบการ์ตูนตลกของแต่ละคนในอินเตอร์เน็ต คาดเดาได้ยากกว่าการ์ตูนแนวอื่นมาก
ดังนั้นถ้าจะซื้อมาอ่านเพราะรีวิวนี้ ก็ควรเอาเรื่องข้างบนมาบวกลบด้วยครับ