Sunday, June 12, 2016
โอโตยัง
รีวิว โอโตยัง หนุ่มข้าวปั้นพันธุ์นักสู้ สนพ Zenshu ออกถึง 12 เล่ม (ญี่ปุ่น 20 เล่ม ยังไม่จบ แต่ไม่ออกเล่มใหม่นานแล้ว)
การ์ตูนร้านซูชิเรื่องนี้ ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในไทยซักเท่าไหร่ แม้จะออกมานานแล้ว คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องในเล่ม 1-4 ยังไม่ค่อยเข้มข้น เรื่อยเปื่อยเกินไป ไม่เน้นฉากทำซูชิหรือฉากรับประทาน ทำให้คนอ่านเลิกสนใจกันซะก่อน
แต่ถ้าใครอดทนผ่านเล่มแรกๆไปได้ (หรือข้ามมาอ่านเล่ม 5 เลย) ก็จะพบว่า เรื่องนี้เป็นการ์ตูนทำอาหารที่สนุกและดูอร่อยพอๆกับเรื่องดังๆเรื่องอื่นเลยครับ มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่นหลายอย่างแทรกมาให้อ่านเป็นระยะๆ เนื้อหาก็ดูสมจริง ไม่มีซูชิที่รสชาติเหนือปาฎิหาริย์อะไรเลย
เนื้อหาย่อคือ ชายหนุ่มชื่อ โอโตยัง ได้ย้ายจากโอซาก้าเข้ามาทำงานในร้านซูชิที่โตเกียว เพื่อจะลืมคนรักเก่า แม้ว่านิสัยจะดูเหมือนหนุ่มลูกทุ่งเพี้ยนๆ แต่ฝีมือการทำซูชิของเขาจัดว่าสูงมาก ชีวิตใหม่บทใหม่ของเขากำลังจะเริ่มขึ้น ทว่าขณะเดียวกัน ความวุ่นวายทั้งจากลูกค้า จากร้านซูชิร้านอื่น และองค์กรลึกลับที่มีแผนชั่วร้าย ก็กำลังรอเขาอยู่เช่นกัน
ในเล่มแรกๆ ส่วนมากเนื้อหาจะจบในตอน เกี่ยวกับชิวิตของคนในร้านซูชิกับบรรดาลูกค้าต่างๆ ที่มีความต้องการต่างกัน ทำให้พระเอกและคนในร้านต้องหาทางตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าเหล่านั้นให้ได้ เนื้อหาในช่วงนี้จะค่อนข้างเรื่อยเปื่อยตามประสาการ์ตูนจบในตอน ฉากทำอาหารหรือฉากกินจึงไม่ได้ถูกเน้นนัก คนที่เคยชินกับการ์ตูนทำอาหารเนื้อหาเข้มข้น เต็มไปด้วยภาพชวนหิว อย่าง จอมโหดกระทะเหล็ก ไอ้หนูซูชิ จะรู้สึกว่าไม่ชอบการดำเนินเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ และจะถอดใจกันไปซะก่อน
แต่พอเล่ม5 เป็นต้นไป เรื่องเรื่องจะเข้มข้นขึ้น พระเอกจะถูกคนจากร้านอื่นมาหาเรื่องบ่อยๆและจบที่การประลองทำซูชิ ฉากทำอาหารและฉากกินจะถูกเน้นมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ลากยาวเป็นการแข่งขันทัวร์นาเม้นแบบที่หลายเรื่องชอบทำ เวลาอ่านเลยรู้สึกเหมือนเป็นการประลองแนวนักสู้ข้างถนนที่เกิดขึ้นแล้วจบไป ไม่ใช่การประลองที่ยืดจนกลายเป็นพล็อตใหญ่
และสิ่งที่ผมชอบอีกก็คือ ฉากทำอาหารในโอโตยัง ไม่มีการอ้อมค้อมแทรกดราม่าเหมือนการ์ตูนทำซูชิเรื่องอื่น ไม่มีฉากย้อนความหลัง ไม่ค่อยเสนอว่าตัวละครกำลังคิดอะไรอยู่
แต่จะเน้นไปที่ฉากของการทำซูชิ ฉากรับประทานอาหารแทน รวมถึงเกร็ดความรู้ที่แทรกเข้ามาในตอนนั้น พอทำอาหารเสร็จ กรรมการก็จะชิมทันที ไม่มีการดึงเรื่องให้ช้าเสียจังหวะ การดำเนินเรื่องเลยดูกระชับ และรู้สึกว่ามันเป็นการแข่งขันที่สมจริง
มีฉากตามหาวัตถุดิบบ้าง แต่ก็เป็นเพียงฉากสั้นๆ และชนวนเหตุที่ชักนำให้เกิดการประลองขึ้นก็ไม่อ้อมค้อมหรือซับซ้อน พูดง่ายๆว่า เรื่องนี้ตัดเข้าฉากทำอาหารเร็วกว่าไอ้หนูซูชิครับ เพราะเนื้อหาไม่มีฉากดราม่าหรือฉากความสัมพันธ์ของตัวละครเข้ามาแทรกมากนัก
นอกจากนี้ คู่ต่อสู้ต่างๆของพระเอก ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ส่วนมากจะได้แข่งกับพระเอก เพราะการ 'ทะเลาะ' กันเฉยๆมากกว่า พอจบการประลองก็ต่างคนต่างไป ไม่มีการเคียดแค้นพยาบาทกัน
แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีตัวละครฝ่ายร้ายที่ดูหวือหวา เพราะในพล็อตมีการกล่าวถึงองค์กรที่เรียกว่าสำนักอิตเทชินริวเป็นพักๆ ซึ่งมีชายสูงวัยใส่หน้ากากดูน่ากลัวเป็นหัวหน้า เป้าหมายขององค์กรนี้คือการกำจัดร้านซูชิที่ไม่อยู่ในเครือข่ายของตัวเองให้หมดสิ้นไป
แม้จะดูเป็นองค์กรชั่วร้ายธรรมดาๆเหมือนเรื่องอื่น แต่เนื่องจากในเรื่องนี้ มีบรรยากาศที่ดูสมจริงมาตลอด เลยน่าสนใจว่าเจ้าของเรื่องจะเอาความจริงจังที่อยู่ในเรื่องมาผสมกับตัวร้ายที่ดูเหมือนหลุดจากการ์ตูนแอ๊คชั่นยังไงเหมือนกัน
ฉากในเรื่องโอโตยังจะให้ความรู้สึกของปีในช่วง 1980-1990 กลางๆ แฟชั่นการแต่งตัวและทรงผมของผู้คนจะเหมือนกับในมิวสิควิดิโอช่วงที่เบิร์ด ธงชัย กับ ตู่นันทิดา กำลังดังๆ และเพราะเป็นการ์ตูนที่นำเสนอเรื่องราวในยุคนั้น บุคลิกของตัวละครหลายตัวจึงดู ซื่อๆง่ายๆ มีน้ำใจ หรือ ฝ่ายที่เกเรหน่อยก็จะดูห่ามๆแบบนักเลงลูกทุ่ง ได้อารมณ์ตัวละครในหนังยุคเก่าดี
ทางด้านจำนวนตัวหนังสือและจำนวนช่องของภาพ ต่อหนึ่งหน้ากระดาษ ทำได้ออกมาพอดีๆเลยครับ อ่านได้ไหลลื่นกว่าไอ้หนูซูชิ แต่ก็ไม่ถึงขนาดจอมโหดกระทะเหล็กที่หน้านึงมีแค่ช่องสองช่อง แป๊ปเดียวก็อ่านจบ
ข้อดี
- ฉากทำอาหาร ฉากชิมอาหาร ทำได้น่ากินตั้งแต่เล่ม 5 ขึ้นไป (ใครไม่เคยอ่าน ลองข้ามมาเล่ม 5 เลยก็ได้ เพราะเล่มแรกๆเนื้อเรื่องก็ไม่ได้เดินอะไรนัก)
- ฉากและตัวละครให้ความรู้สึกของยุค 80-90 ซึ่งแฟชั่นและนิสัยใจคอ ต่างกับคนในสมัยนี้มากมาย ได้อารมณ์ไปอีกแบบดี
- ไม่เน้นฉากซึ้ง ตัวละครมีความหลังเศร้า หรือเล่าความหลังเยอะๆแบบไอ้หนูซูชิ หรือ ไอ้หนุ่มซูชิของบูรพัฒน์
- มีฉากเกี่ยวกับอาหารบ่อยกว่าไอ้หนูซูชิ (หรืออาจจะมีเท่ากัน แต่เรื่องนี้ไม่เวิ่นเว้อ ก็เลยรู้สึกว่าเนื้อหาเดินมาถึงฉากเกี่ยวกับอาหารเร็วกว่าก็ได้)
- กระดาษดี
- แปลบุคลิกของพระเอกให้ดูลูกทุ่งได้ดีมาก เวลาเห็นพระเอกพูดแล้วลงท้ายว่า 'จ้า' ดูเข้ากันดี
- ตัวละครอื่นๆก็แปลคำพูดเหมือนคนยุคก่อนพูดคุยกัน เหมาะกับบรรยากาศในเรื่อง
- พล็อตเรื่อง หรือความขัดแย้ง ที่เป็นชนวนให้พระเอกได้ประลองฝีมือกับคนอื่น อ่านแล้วได้อารมณ์ร่วมอยากเห็นการแข่งขันระหว่างทั้งสองฝ่าย (เพราะถ้าฝ่ายตรงข้ามมันดูไม่น่าต่อสู้ด้วย คนอ่านคงไม่อยากอ่านต่อหรอกเนาะ)
- แทรกสาระน่ารู้หลายอย่างเกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่เรื่องของซูชิ แม้ว่าจะไม่ใช่ความรู้ที่เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆแบบ ไอ้หนุ่มราเม็งเปิปพิสดาร ก็ตาม สิ่งที่ได้จากเรื่องนี้ก็ยังน่าสนใจอยู่ดี
ข้อเสีย
- ออกเล่มใหม่ช้ามาก แต่ Zenshu บอกว่าไม่ลอยแพแน่ (ปี2016)
- เล่ม 1-4 อาจจะมีคนไม่ชอบอยู่บ้าง เพราะมันเรื่อยเปื่อยเกิน
- สถานะของเล่ม 21 ในญี่ปุ่น จะหยุดแค่เล่ม 20 เลยมั้ยเพราะเล่มใหม่ไม่ออกที่ญี่ปุ่นนานแล้ว (แต่ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้ มีให้อ่านแค่ไหน ก็สนุกเท่าที่หาอ่านได้ก็พอแล้ว)
8.5/10 ครับ อ่านง่าย ตัวละครมีบุคลิกแตกต่างจากการ์ตูนยุคนี้ ภาพอาหารดูแล้วกระตุ้นความหิวดี
Sunday, June 5, 2016
ซามูไร โซลเยอร์
รีวิว: ซามูไร โซลเยอร์ Samurai Soldier
สนพ SIC 27 เล่มจบ (รีวิวถึงเล่ม23)
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในการ์ตูนแนววัยรุ่นตีกันไม่กี่เรื่อง ที่ผมอ่านแล้วชอบครับ (ที่ชอบสุดคือจอมเกบูลส์)
ภาพรวมของเนื้อเรื่องจะออกแนวแก๊งค์นี้ปะทะแก๊งค์โน้น ตีกันมั่วซั่ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นการ์ตูนที่เน้นฉากต่อสู้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย เพราะในเรื่องมีพล็อตใหญ่เรื่องหนึ่งครอบครุมเอาไว้ตลอดด้วย ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ของพระเอก กับอดีตเพื่อนรักที่เป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็กวัยรุ่นที่เก่งกาจที่สุด ทั้งสองคนแตกหักกันด้วยเรื่องหนึ่ง และพระเอกต้องหยุดยั้งเพื่อนของเขาคนนี้ให้ได้
การต่อสู้ใน ซามูไร โซลเยอร์ มีการกระจายบทได้ดีมาก อ่านแล้วไม่รู้สึกเหมือนคนแต่งพยายามฝืนดันตัวละครไหนให้กลายเป็นตัวหลักเลย ไม่เหมือนการ์ตูนโชเนนจั๊มป์ที่จะกำหนดตัวละครหลักไว้ชุดนึง แล้วโยนฉากต่อสู้ให้กับตัวละครชุดนี้ไปเรื่อยๆ คนอ่านเรื่องนี้จะเดาได้ยากว่าใครจะได้จับคู่ต่อยกับใคร และไม่เกี่ยงด้วยว่าจะเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยวๆหรือรุมกัน แถมตัวละครทุกตัวยังสามารถแพ้ได้ทุกเมื่อด้วย หากสถานการณ์ไม่เอ้ออำนวย แม้จะดูเทพแค่ไหนก็ตาม
ถ้าไม่นับฉากตีกันแล้ว การดำเนินเนื้อเรื่องของ ซามูไร โซลเยอร์ ก็ทำได้น่าสนใจครับ ทั้งพล็อตใหญ่หรือพล็อตย่อย อ่านแล้วไม่รู้สึกเหมือนว่ามีเนื้อเรื่องเอาไว้ประดับ เพื่อจะได้เข้าสู่ฉากสู้กันเท่านั้น
ในเรื่องมีฉากย้อนประวัติของตัวละครอยู่หลายตัว ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้ทำอะไรต่อสู้กับใครมาบ้าง หรือทำไมถึงกลายมาเป็นวัยรุ่นอันธพาล แม้จะไม่ถึงกับสร้างอารมณ์ร่วมให้รู้สึกซึ้งได้ หรือมีสิ่งให้น่าประหลาดใจ แต่ฉากย้อนความในเรื่องนี้อ่านแล้วเพลิดเพลินดี ทำให้เห็นตัวละครแต่งละคนลึกยิ่งขึ้น และเข้าใจการกระทำของพวกเขาขึ้นมาบ้าง
ฉากที่เสนอในเรื่องจะอยู่ในเมืองหรือตามร้านรวงต่างๆ คงเพราะตัวละครอยู่ในช่วงอายุราวๆ 18-20กลางๆ เลยไม่มีการกล่าวถึงโรงเรียนครับ และเนื่องจากเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉากในเมืองยามค่ำคืนด้วยมั้ง ผมเลยรู้สึกไม่อึดอัดเหมือนตอนอ่านการ์ตูนแนววัยรุ่นตีกันหลายเรื่องที่เน้นฉากภายในโรงเรียนล้วนๆ
นอกจากนี้ในการ์ตูนวัยรุ่นอันธพาลช่วงหลังๆ นอกจากฉากบู๊และการดำเนินเรื่องแล้ว ก็มีองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่ง ที่เพิ่มมามีบทบาทสำคัญสำหรับการ์ตูนแนวนี้ ซึ่งก็คือแฟชั่นการแต่งกายหรือทรงผมของวัยรุ่นที่ออกแนวจิ๊กโก๋เท่ๆ
ในประเด็นนี้น่าเสียดายว่า คนวาดใส่ใจกับแฟชั่นจิ๊กโก๋แค่ตัวละครจากบทแรกเท่านั้น บทหลังๆตัวละครใหม่ๆจะแต่งตัวธรรมดา ไม่ค่อยดูเท่อะไรนัก
เนื้อเรื่องของ ซามูไร โซลเยอร์ จนถึงเล่ม 23 แบ่งออกเป็น 3 บท ทุกบทอยู่ภายใต้พล็อตหลักที่กล่าวไว้ข้างต้น คือพระเอกกลับมาที่ชิบุยะหลังจากหายตัวไปนาน เพื่อมาหยุดยั้งแผนของเพื่อนรักในอดีตที่หลงผิด เพราะเขารู้ว่าแผนดังกล่าวจะทำให้ทุกอย่างมีจุดจบไม่สวยแน่
บทแรกของเรื่องจะเน้นการตะลุมบอนของแก๊งค์ต่างๆในชิบุยะ เพื่อชิงการเป็นแก๊งค์อันดับหนึ่ง ขณะที่พระเอกกลับต้องการจะหยุดยั้งความบ้าคลั่งของแก๊งค์พวกนี้
เป็นบทที่ตะลุมบอนกันได้สนุก มีตัวละครแต่งกายเท่ๆออกมามากมาย ช่วงแรกๆอาจจะเน้นการต่อสู้ของพระเอกไปหน่อย แต่พอหลังๆเริ่มกระจายบทให้ตัวละครของแก๊งค์ต่างๆมาฉะกันอย่างมั่วซั่วสะใจ จนไปถึงบทสรุปที่ลงตัว และยังบอกใบ้กลายๆว่า เรื่องนี้ไม่ใช่แนวที่จะให้พระเอกมาแก้ปัญหาทุกอย่างหรอกนะ
บทที่สอง ต่างกับบทแรกที่เป็นสีเทาๆไม่มีใครผิดใครถูก เพราะบทนี้แบ่งเป็นฝ่ายร้ายฝ่ายดีชัดเจน ใครเป็นตัวร้าย ก็จะมีบทร้ายๆไปเลย แต่ก็ยังดูไม่ออกว่าใครจะได้สู้กับใครเหมือนเดิม การแต่งกายของฝ่ายร้ายในบทที่สอง ดูธรรมดาไปหน่อย ไม่ค่อยมีใครใส่ชุดวัยรุ่นอันธพาลเท่ๆแบบบทแรก
แม้บทนี้จะดูเป็นสงครามกลางเมือง ที่เกิดขึ้นแล้วจบไป แต่มันกลับถูกเฉลยว่ามีความหมายมากกว่านั้นในบทที่สาม
บทที่สาม พึ่งเริ่มมาเพียงไม่กี่เล่ม แม้ว่ายังไม่มีฉากต่อสู้ แต่เนื้อเรื่องกลับเข้มข้นเท่าเดิมเพราะเกี่ยวกับการหักเหลี่ยมเฉือนคมภายในองค์กรยากุซ่า ที่เหล่าวัยรุ่นในเรื่องไปเกี่ยวข้องด้วย
บทนี้เริ่มเฉลยความลับในเรื่องหลายอย่าง และชี้ให้เห็นพล็อตหลักอย่างชัดๆ จนน่าสงสัยว่าบทนี้คือบทสุดท้ายหรือไม่ ถ้าใช่ก็นับว่าเป็นการจบที่ลงตัวเหมือนกัน
แต่ก็เสียดายว่าเรื่องนี้ยังขยายเนื้อหาไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ถึง 30-40 เล่มก็ยังไหว ถ้าไม่จบที่บทนี้ไปซะก่อน
จำนวนช่องต่อหนึ่งหน้าและจำนวนตัวหนังสือของ ซามูไร โซลเยอร์ ถือว่าอ่านได้ไหลลื่นมากครับ แม้บางช่วงตัวหนังสือเยอะหน่อย แต่ผมก็ยังถือว่าเป็นการ์ตูนที่อ่านได้โดยไม่ต้องเพ่งสมาธิซักเท่าไหร่
ข้อดี
- เนื้อเรื่องดี แม้ว่าจะไม่ถึงกับเยี่ยมยอด แต่อ่านแล้วไม่เบื่อแน่ๆ
- ฉากย้อนความหลัง ทำได้น่าสนใจ
- ฉากบู๊สนุก และคาดเดาได้ยาก ว่าใครจะได้สู้กับใคร
- ไม่เซนเซอร์ฉากติดเรทด้วยล่ะ
- กระจายบทต่อสู้ได้ดี ไม่เจาะจงว่าตัวละครนู้นนี้ต้องได้สู้
- ไม่มีตัวละครเก่งเว่อร์ แม้กระทั่งพระเอกก็ตาม
- เน้นฉากในเมือง ไม่มีฉากเกี่ยวกับโรงเรียนเลย
ข้อเสีย
- แฟชั่นจิ๊กโก๋เท่ๆ มาจากตัวละครในบทแรกเท่านั้น
- ทิศทางของเรื่องในบทที่สาม ว่าจะเน้นการตีกันของวัยรุ่นอยู่หรือไม่ หรือจะเปลี่ยนมาเชือดเฉือนกันด้วยอำนาจ
7.5/10 ครับ แต่คนอ่านที่ชอบแนววัยรุ่นอันธพาล อาจจะรู้สึกว่ามันสนุกระดับ 8-9/10 เลยก็ได้
แม้ผมจะให้คะแนนไม่สูงมาก แต่เท่าที่นึกออก ก็มีการ์ตูนในแนวเดียวกันเพียงไม่กี่เรื่อง ที่จะสนุกกว่า ซามูไร โซลเยอร์ ได้
Subscribe to:
Posts (Atom)